คือการอักเสบของกรวยกรองไตอย่างเฉียบพลัน โดยมีอาการแสดงที่สำคัญประกอบด้วย 1. มีเม็ดเลือดแดงและโปรตีนมากผิดปกติในปัสสาวะ (hematuria & proteinuria) 2. ของเสียไนโตรเจนคั่งในเลือด (azotemia) 3.
3 - 38. 8 ซ. ) หรือเป็นไข้หวัดร่วมด้วย การใช้เครื่องฟังตรวจปอด อาจได้ยินเสียงหายใจหยาบ ( coarse breath sound) หรือมีเสียงอึ๊ด( rhonchi) หรือเสียงกรอบแกรบ ( crepitation) บางอาจมีเสียงวี๊ด ( wheezing) ภาวะแทรกซ้อน ที่สำคัญ คือ ปอดอักเสบ ซึ่งมีโอกาสพบได้น้อยกว่าร้อยละ 5 ของผู้ป่าว พบได้บ่อยในทารก ผู้สูงอายุ ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือมีโรคปอดเรื้อรัง ( เช่น หืด ถุงลมปอดโป่งพอง) อยู่ก่อน ในรายที่เป็นซ้ำซาก อาจกลายเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรังและถุงลมปอดโป่งพอง ( โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่สูบบุหรี่) และหลอดลมพอง บางรายอาจมีอาการไอเป็นเลือด การรักษา 1. แนะนำให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้มากขึ้น อย่าตรากตรำงานหนัก ควรดื่มน้ำอุ่นมากๆ ( วันละ 10 –15 แก้ว) เพื่อช่วยให้เสมหะออกได้ง่ายขึ้น งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคืองหรือสิ่งกระตุ้นให้ไอ ( เช่น ความเย็น น้ำเย็น น้ำแข็ง ของทอด ของมันๆ ฝุ่น ควัน อากาศเสีย ลมจากพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น) 2. ให้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาระงับการไอ หรือยาขับเสมหะ ยาลดไข้ ถ้าไอมีเสมหะข้นเหนียว ควรหลีกเลี่ยงยาระงับการไอและยาแก้แพ้ อาจทำให้เสมหะเหนียว ขับออกยาก หรืออุดกั้นหลอดลมเล็ก ทำให้ปอดบางส่วนแฟบได้ 3.
5% ในระยะแรก และน้อยกว่า 2% ที่จะเกิดเป็นโรคไตวายเรื้อรัง การรักษา APSGN ที่สำคัญคือการรักษาตามอาการประกอบด้วยการรักษาภาวะ volume overload, ควบคุมความดันโลหิต, ควบคุมสมดุลเกลือแร่โดยเฉพาะจำกัดโซเดียม และระวังป้องกันการเกิดโปแตสเซียมในเลือดสูง และอาจจะต้องทำ dialysis เมื่อมีข้อบ่งชี้ การให้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาการติดเชื้อ Streptococci เป็นส่วนสำคัญในการรักษา ยาที่ใช้ได้ผลดีได้แก่ Penicillin, Erythromycin เป็นต้น โดยให้ยานาน 7-10 วัน
ถ้าให้ยาปฏิชีวนะรักษาทอนซิลอักเสบdแล้วไม่ดีขึ้น อาจเกิดจากสาเหตุอื่น รวมทั้งเมลิออยโดซิส (229. 2) ซึ่งพบบ่อยในคนอีสานที่มีประวัติเป็นโรคเบาหวาน การป้องกัน เมื่อมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นคอหอยหรือทอนซิลอักเสบควรปฏิบัติเช่นเดียวกับไข้หวัด (1) เช่นผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการไอหรือจามรดผู้อื่น คนที่ยังไม่ป่วยอย่าอยู่ใกล้กับผู้ป่วย อย่าใช้ของใช้ร่วมกับผู้ป่วย และหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ เป็นต้น
เชื้ออาจลุกลามไปยังบริเวณใกล้เคียงทำให้หูชั้นกลางอักเสบ (163) ต่อมน้ำเหลืองที่คออักเสบ จมูก อักเสบ (27) ไซนัสอักเสบ (26) ปอดอักเสบ (19) ฝีทอนซิล (peritonsillar abscess) ซึ่งอาจโตจนทำให้กลืนลำบากหรือหายใจลำบาก 2. เชื้ออาจแพร่เข้ากระแสเลือด ทำให้เป็นข้ออักเสบชนิดติดเชื้อเฉียบพลัน (112) กระดูกอักเสบเป็นหนอง(osteomyelitis) เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (66) 3. โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ ไข้รูมาติก (94) และ หน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน (136) ซึ่งมักเกิดหลังทอนซิลอักเสบ 1-4 สัปดาห์ โรคแทรกซ้อนเหล่านี้เกิดจากปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง (autoimmune reaction)สำหรับไข้รูมาติกมีโอกาสเกิดขึ้นประมาณร้อยละ 0. 3-3 ของผู้ ที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้อง ภาวะแทรกซ้อนของทอนซิลอักเสบ การรักษา 1. แนะนำให้ผู้ป่วยพักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ และใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง ควรให้ผู้ป่วยกินอาหารอ่อน เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก น้ำชุบ นม น้ำหวาน ควรกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ (ผสมเกลือป่นประมาณ 1 ช้อนชา หรือ 5 มล. ในน้ำอุ่น 1 แก้ว) วันละ 2- 3 ครั้ง ถ้าเจ็บคอมากให้ดื่มน้ำเย็นหรือเครื่องดื่มเย็น ๆ หรือออมก้อนน้ำแข็ง 2. ในรายที่เกิดจากไวรัส (ซึ่งจะมีอาการคอหอยและทอนซิลแดงไม่มาก และมักมีอาหารน้ำมูกใส ไอ ตาแดง เสียงแหบ หรือท้องเดินร่วมด้วย) ให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้พาราเซตามอล (ย1.
จากการติดเชื้อ ส่วนมากเกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มเดียวกับที่ก่อให้เกิดไข้หวัดใหญ่ และติดต่อแบบเดียวกับไข้หวัด บางครั้งอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรีย ( เช่น Mycoplasma pneumonia, Clamydia pneumonia, Streptococcus pneumonia, Hemophilus influenza, Moraxella catarrhalis) แทรกซ้อนมักพบได้บ่อยในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่ภูมิต้านทานโรคต่ำ ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือมีภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรั้ง 2.