รู้หรือไม่ว่าอากาศหนาวนี่แหละคือปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำให้ผิวเราเสียได้ง่าย เรื่องโดย: ปิยวรรณ นาทุ่งนุ้ย Team content หน้าหนาวแบบนี้ ใครๆ ก็เก็บกระเป๋าออกเดินทางไปสัมผัสอากาศหนาวๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่รู้หรือไม่ว่าอากาศหนาวนี่แหละคือปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำให้ผิวเราเสียได้ง่าย ในสภาพอากาศที่ลดลงแบบนี้ ผิวหนังของเราก็จะเกิดการแห้งและอักเสบถ้าไม่ดูแลและบำรุงให้ดี โดย ผศ. พญ. สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานบริการฝ่ายกิจกรรมสังคม สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ได้ให้ข้อมูลว่า หน้าหนาวความชื้นในบรรยากาศและอุณหภูมิจะลดลง โดยความชื้นที่ลดลงนั้นส่งผลให้ผิวสูญเสียน้ำ จะมีอาการทั่วไป คือ ผิวแห้ง และก็เกิดอาการคันตามมา สำหรับคนที่เป็นโรคผิวหนัง อย่างโรคภูมิแพ้ผิวหนัง หรือเป็นสะเก็ดเงิน ช่วงหน้าหนาวผิวก็จะแห้งมากยิ่งขึ้น และเกิดเป็นผิวอักเสบตามมา ซึ่งในประเทศไทยนั้นจะพบได้บ่อย โรคผิวหนัง มีหลายอาการ คือ 1. โรคผิวหนังอักเสบที่เกิดจากผิวแห้ง เรียกว่า "ซีโรติกเอ็กซีม่า" เกิดจากการที่ร่างกายสูญเสียน้ำไป ทำให้ผิวเกิดอาการคัน และทำให้เกิดผิวหนังอักเสบได้ โดยมีลักษณะเฉพาะคือ ผิวหนังแดงคล้ายกับผิวหนังอักเสบทั่วไป 2.
การดูแลผิวเกินความจำเป็น การดูแลรักษาผิวพรรณเป็นเรื่องที่ดี แต่ในบางครั้ง หากคุณใส่ใจในการดูแลผิวมากเกินไป ก็อาจจะทำให้เกิดผิวมันได้ เช่น การทำความสะอาดผิวหน้าที่มากเกินไป การล้างหน้า หรือขัดผิวที่มากเกินไป ก็เป็นสาเหตุทำให้มีผิวหน้ามัน เนื่องจาก จุดประสงค์ในการล้างหน้าหรือขัดหน้านั่นคือ การทำให้ความมันบนใบหน้าหายไป ทำให้ต่อมไขมันต้องเพิ่มการผลิตไขมันและสร้างสมดุลให้กับผิวบนใบหน้า ซึ่งการขัดหน้าที่มากไปก็อาจส่งผลให้เกิดรูขุมขนที่กว้างขึ้นได้ และทำให้เกิดผิวมันในระยะยาว ดังนั้นการดูแลรักษาผิวควรอยู่ในความพอดี ไม่มากไป หรือน้อยไป 7.
เลี่ยงการล้างมือบ่อยๆ สำหรับคนที่รักความสะอาดมากๆ ที่มีการใช้แอลกอฮอลล์ หรือเจลล้างมือ เพื่อฆ่าเชื้อเป็นประจำ ควรจะต้องลดลง เพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้งมากยิ่งขึ้น 5. ทาโลชั่นป้องกันแสงแดด เมื่อออกไปสัมผัสแสงแดดทุกครั้ง เพื่อป้องกันรังสี UVA และUVB โดยเลือกที่มีค่า SPF 30-50 PA+++ 6. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพราะจะช่วยสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง โดยเน้นผักผลไม้ ซึ่ง สสส. ได้รณรงค์อยู่เสมอว่าต้องกินผัก ผลไม้ให้ได้อย่างน้อย 400 กรัมต่อวัน เพราะผักและผลไม้ที่มีสีสันจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ช่วยซ่อมแซมผิวได้ดีขึ้น และควรเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง ซึ่งในแต่ละวันต้องไม่เกิน 2, 000 มิลลิกรัม เพราะความเค็มจะดูดความชุ่มชื้นของผิว และยังลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ตามมาอีกด้วย อากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยๆ ผิวพรรณเป็นสิ่งที่ต้องดูแลในทุกๆ วัน หากขาดความชุ่มชื้นแล้ว ผิวของเราจะไม่สดใส และเกิดเป็นโรคผิวหนังได้ง่าย จึงควรดูแลผิวหนังของเรา ก่อนที่จะเกิดปัญหาต่างๆ ตามมา
หน้าแดงๆ ลอกเป็นขุย เป็นๆ หายๆ อาจเกิดจาก การอักเสบของผิวหนัง (Seborrheic dermatitis) ในบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น ใบหน้า หนังศีรษะ ผื่นจะแดงๆ ลอกเป็นขุย ผื่นจะเห่อถ้าเครียด นอนน้อย หน้าแห้ง หรือเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง เช่น toner (โทนเนอร์) ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมหลัก รวมถึงอากาศแห้งหรือการระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้บนใบหน้า ผิวแห้ง เกิดการลอกเป็นขุยๆ สามารถพบได้ทั่วบริเวณใบหน้า ผิวผสม (ผิวมันบริเวณจมูก หน้าผาก คาง) เกิดการลอกเป็นขุยบริเวณข้างจมูกและแก้ม วิธีการดูแลผิวหน้าแห้ง ลอก ได้ด้วยตัวเอง คือ 1. ควรหลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น 2. ควรเลือกใช้สบู่เหลวที่มีค่า ph ประมาณ 5 และไม่มีฟอง ไม่มีสารลดแรงตึงผิว (surfactant) 3. ทามอยเจอร์ไรเซอร์ทันทีหลังล้างหน้าเสร็จเพื่อป้องกันผิวแห้ง โดยเน้นบริเวณผิวที่ลอกเป็นขุย และควรเลือกที่มีค่า ph ประมาณ 5 และไม่มีน้ำหอมเป็นส่วนประกอบ 4. ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามิน A และ C, AHA, BHA เช่น ครีมหน้าขาวใส ยารักษาสิว ฝ้า หรือ Toner ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมหลัก เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจกระตุ้นผื่นได้ 5. สามารถใช้แชมพูสูตรขจัดรังแคที่ขายตามท้องตลาดที่หาซื้อง่ายๆ พวกที่มีสาร Zinc pyrithione ได้ 6.
หน้ามัน เกิดจาก? ความมันบนใบหน้าเกิดจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังทำงานมากผิดปกติ ซึ่งก็มีหลายสาเหตุที่สามารถส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาจำนวนมาก นับเป็นอีกหนึ่งปัญหาผิวที่อาจก่อให้เกิด สิวอักเสบ และ สิวอุดตัน ได้ง่าย เราจึงควรใส่ใจกับผิวหน้าเป็นพิเศษเพื่อป้องกันไม่ให้เกิด สิว ตามมา วันนี้เราจะไปดูกันว่า " หน้ามัน เกิดจาก " อะไรและวิธีป้องกันผิวมัน ทำได้อย่างไรบ้าง 1. กรรมพันธุ์ เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับสิ่งที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นอย่างกรรมพันธุ์ ซึ่งถ้าใครมีพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายที่มีลักษณะผิวมัน พันธุกรรมด้านผิวหนังก็อาจจะส่งต่อไปยังลูกหลานได้เหมือนกัน แต่หากมีการดูแลผิวพรรณให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอก็สามารถหลีกเลี่ยงการเกิดสิวได้ แต่ข้อดีของผิวมันคือ ผิวหน้าจะค่อนข้างชุ่มชื่นและอ่อนกว่าวัยมากกว่าผิวแห้ง 2. อายุ ในช่วงวัยรุ่น ร่างกายจะสร้างคอลลาเจนเป็นจำนวนมาก ทำให้ผิวมีความเต่งตึง ไร้ริ้วรอย แต่คอลลาเจนที่สร้างความสวยงามให้กับผิวก็มักจะสร้างสิวตามมาด้วย วิธีแก้ปัญหาคือ การใช้ผลิตภัณฑ์ รักษาสิว หรือ ผลิตภัณฑ์ที่ต้านการอักเสบของสิว จะช่วยสามารถลดการเกิดสิวและรอยแผลเป็นจากสิวได้ เมื่อคุณเริ่มเข้าสู่ช่วงอายุ 30 ปี คอลลาเจนและความมันบนใบหน้าจะลดลง ทำให้เกิดริ้วรอยขึ้นบนใบหน้า แต่ข้อดีของผิวหน้ามันนั่นก็คือ จะมีการเกิดริ้วรอยที่ช้ากว่าคนที่มีผิวแห้ง 3.
ปัจจัยทางพันธุกรรม ในครอบครัวที่มีผิวมัน รูขุมขนกว้าง หรือ เป็นภูมิแพ้ผิวหนัง ก็มีความเสี่ยงในการเป็นสิวอักเสบมากกว่า และเวลาที่เกิดก็มักจะมีความรุนแรงมากกว่า 2. ปัจจัยจากฮอร์โมน ช่วงวัยว้าวุ่นที่ฮอร์โมนเริ่มมีการเปลี่ยนปลงอย่างรวดเร็วก็จะเริ่มเป็นสิว โดยฮอร์โมนเพศที่ทำให้เกิดสิวจะเป็นฮอร์โมนเพศชาย 'เทสโทสเตอโรน' โดยส่วนมากจะเริ่มขึ้นในช่วงอายุ 11ปี และมักจะลดลงในช่วงอายุ 30 ปี โดยผู้หญิงมักเป็นสิวในช่วงมีประจำเดือน หรืออาจเป็นมากในช่วงตั้งครรภ์ ส่วนผู้ชายนั้นหากเป็นสิวแล้วมักมีอาการของสิวอักเสบรุนแรงมากกว่าผู้หญิง 3. อาหาร อาหารที่มีความมันมาก อาหารที่มีส่วนประกอบของไกลซีมิค นมวัว มีการสำรวจและงานวิจัยมากมายสนับสนุนว่าอาหารเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับการเกิดสิวอักเสบ ส่วนอาหารที่ทานแล้วเป็นผลดีช่วยป้องกันและรักษาสิวอักเสบได้ คืออาหารที่มีวิตามินซี วิตามินบีสูง ได้แก่ พวกผักและผลไม้สด 4. พฤติกรรมการดูแลตัวเองที่ไม่เหมาะสม ร่างกายที่พักผ่อนไม่เพียงพอ จะมีผลต่อการทำงานของระบบภูมิค้มกันทำให้เป็นสิวง่าย และการทำความสะอาดผิวหน้า ถ้ารักษาความสะอาดไม่ดีก็จะทำให้เกิดสิวอุดตัน และสิวอักเสบก็จะตามมาได้ง่าย ที่สำคัญคือบางคนมีพฤติกรรมชอบแกะสิว การแกะสิวจะทำให้เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจายได้เร็ว
ริมฝีปากแห้ง แตก อักเสบ ซึ่งหากสูญเสียน้ำมากบริเวณปากจะเป็นอันดับแรกที่เห็นได้ชัด 3. มือแห้ง โดยเฉพาะปลายนิ้ว โดยเฉพาะคนที่ล้างมือบ่อยๆ จะเกิดการเสียดสี ทำให้ผิวบริเวณนิ้วที่บอบบางอยู่แล้วเกิดการหลุดลอกได้ง่าย 4. ผิวหน้า จะเกิดอาการหน้าลอก ขาดความชุ่มชื้น 5. ผิวไหม้จากแสงแดด เป็นอีกชนิดหนึ่งที่พบได้ในช่วงหน้าหนาว ซึ่งหลายคนออกมาตากแดดเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น แต่รู้หรือไม่ว่า ในหน้าหนาวแดดจะแรงมาก ถ้าผิวหนังสัมผัสแดดโดยตรงจะทำให้ผิวไหม้ได้ง่าย วิธีป้องกัน 1. ทำร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยการใส่เสื้อผ้าหนาๆ และหลีกเลี่ยงผิวสัมผัสจากอากาศหนาวโดยตรง 2. ดื่มน้ำเยอะๆ วันละ 8-10 แก้ว เพื่อไม่ให้ผิวขาดน้ำ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เพราะเวลาที่ความชื้นในอากาศน้อยลง น้ำในร่างกายเราก็จะออกไปเยอะขึ้น จึงต้องทดแทนด้วยการดื่มน้ำ 3. ทาโลชั่นหลังจากอาบน้ำ หลายคนเมื่ออากาศหนาวจะอาบน้ำอุ่น ซึ่งจะยิ่งทำให้ผิวแห้งมากขึ้น น้ำอุณหภูมิที่สูงขึ้นนั้น จะยิ่งทำให้ผิวสูญเสียน้ำเพิ่มขึ้นไปอีก จึงขอแนะนำให้อาบน้ำอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่เย็นหรือไม่ร้อนจนเกินไป หลังจากอาบน้ำเสร็จควรทาโลชั่นเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว สำหรับการเลือกโลชั่นนั้น คนที่ผิวแห้งมากต้องเลือกที่มีความมันสูงและเข้มข้น ทาบ่อยเป็นพิเศษ แต่หากหาโลชั่นไม่ได้ ก็สามารถใช้น้ำมันมะพร้าวแทนได้ จะช่วยลดผิวแห้ง และการอักเสบได้ 4.