อยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของแกะ พฤติกรรมการดื่มกินม, พฤติกรรมการดูดนม, พฤติกรรมการเคี้ยวเอื้อง ทางเพศ การเป็นแม่ การขับถ่าย การขัดแย้งและพฤติกรรมการตรวจสอบ ขอบคุณร่วงหน้าครับ
การสื่อสารระหว่างสัตว์ วิทยาศาสตร์ ม. 4-6 (ชีววิทยา) - YouTube
ไม่เป็น เพราะ เนื่องจากยังไม่แสดงพฤติกรรม ง. ไม่เป็น เพราะ ยังไม่ได้เป็นการเรียนรู้ 5. พารามีเซียมมีปฏิกิริยาต่อน้ำเกลือ และ กรดแอซิติก อย่างไร ก. เคลื่อนเข้าหาน้ำเกลือ แต่เคลื่อนหนีกรดแอซิติก ข. เคลื่อนเข้าหากรดแอซิติก แต่เคลื่อนหนีน้ำเกลือ ค. เคลื่อนเข้าหาน้ำเกลือและ กรดแอซิติก ง. เคลื่อนหนี น้ำเกลือและ กรดแอซิติก 6. สิ่งมีชีวิตทีการใช้เหตุผลอย่างสลับซับซ้อนจะมีสมองเป็นลักษณะอย่างไร ก. สมองส่วนกลางเจริญดีมาก ข. สมองส่วนกลางลดขนาดลง แต่สมองส่วนหน้าเจริญดีขึ้น ค. สมองส่วนหน้าเจริญดีมาก ง. ระบบประสาทเป็นแบบปมประสาท – 10. 4 การสื่อสารระหว่างสัตว์ 1. การที่นกส่งเสียงร้องเมื่อมีอันตรยจัดเป็นการส่งเสียงแบบใด ก. mating calls ข. Warning calls ค. Contact calls ง. Navigation calls 2. การสีปีกของจิ้งหรีดตัวผู้ เป็นการสื่อสารแบบใด ก. sound signal ข. Visual signal ค. Warning calls 3. สารที่มดปล่อยออกมาแล้วสามารถเดินตามกันได้อย่างถูกต้องจัดเป็นสารประเภทใด ก. sex attractants ข. Tail substance ค. Pheromone ง. Neurohormone 4. การสื่อสารของผึ้งในการบอกแหล่งอาหารและทิศทางของอาหารอาศัยการสื่อสาร 4 แบบด้วยกันคือข้อใด ก.
ทั้งสัตว์และมนุษย์สื่อสารกันเองตามความต้องการในวิถีชีวิต รูปแบบของการสื่อสารมีลักษณะคล้ายกันทั้งในสัตว์และมนุษย์ แต่หน้าที่แตกต่างกัน แม้ว่ารูปแบบสามารถจำแนกและอธิบายได้ว่ามีความคล้ายคลึงกันในสัตว์และมนุษย์ แต่มนุษย์ได้พัฒนาวิธีการสื่อสารที่ซับซ้อนและขยายตัวอย่างรวดเร็ว มนุษย์พยายามทำความเข้าใจพฤติกรรมของสัตว์และวิธีการสื่อสารผ่านวิธีการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นการสื่อสารอีกรูปแบบหนึ่งของมนุษย์
โดย: Administrator เมื่อ: วันจันทร์, 18 มีนาคม 2556 การทำจมูกฟุดฟิด พฤติกรรมที่เรียกว่าแสนจะธรรมดาของสุนัข แมว และสัตว์อื่นๆ กลับเป็นวิธีการสื่อสารของ"หนู"ที่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะค้นพบใหม่เมื่อเร็วๆนี้ และการค้นพบนี้อาจเปิดทางให้นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าสมองส่วนใดที่มีส่วนกับการแปลความหมายของการสื่อสารและสมองส่วนใดที่ทำงานผิดปกติที่เป็นสาเหตุให้เกิดความผิดปกติด้านการสื่อสารกับสังคม นักวิจัยสังเกตมานานแล้วว่า สัตว์ทำจมูกฟุดฟิดคล้ายกับดมกลิ่นตัวอื่นเพื่ออะไรและอย่างไร แต่ล่าสุด ดร. ดาเนียล ดับเบิลยู. เวสสัน แห่งวิทยาลัยแพทย์ มหาวิทยาลัยเคสเวสเทิร์นรีเซิร์ฟ หัวหน้านักวิจัยได้ค้นพบว่า การที่หนูทำจมูกฟุดฟิดไปที่ตัวอื่นก็เพื่อการส่งสัญญาณลำดับชั้นทางสังคมและป้องกันพฤติกรรมรุนแรง โดยการค้นพบนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ Current Biology แล้ว ดร. เวสสัน ทำวิจัยต่อยอดจากงานเดิมเพื่อแสดงให้เห็นว่า หนูก็สามารถก่อสร้างลำดับชั้นทางสังคมที่ซับซ้อนได้เช่นเดียวกับมนุษย์ โดยนักวิจัยใช้วิธีการไร้สายเพื่อบันทึกและสังเกตพฤติกรรมที่พวกมันมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ดร. เวสสันพบว่า เมื่อหนูสองตัววิ่งเข้าหากัน ตัวหนึ่งจะสื่อสารความเป็นใหญ่โดยการทำจมูกฟุดฟิดถี่กว่าอีกตัวหนึ่ง ขณะที่ตัวที่ด้อยกว่าจะทำจมูกฟุดฟิดด้วยอัตราที่ต่ำกว่า ดร.
10. 4การสื่อสารระหว่างสัตว์ การสื่อสาร เป็นพฤติกรรมทางสังคมของสัตว์ เพราะมีการส่งสัญญาณทำให้สัตว์ซึ่งได้รับสัญญาณ มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปสัตว์ทุกชนิดต้องมีการสื่อสารอย่างน้อยในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิตโดยเฉพาะช่วงที่มีการสืบพันธ์ การศึกษาวิจัยที่เกี่ยวกับการสื่อสารจึงมักจะกระทำกับสัตว์ที่มีพฤติกรรมทางสังคมซับซ้อน เช่น ผึ้ง ปลวก มด และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ทั้งนี้เพราะเมื่อสัตว์เหล่านี้มาอยู่รวมกันมากจะมีการแบ่งหน้าที่กันทำงาน จึงต้องมีการสื่อสารกันตลอดเวลา นักเรียนคิดว่าการสื่อสารมีรูปแบบอย่างไรบ้าง 10. 4. 1การสื่อสารด้วยเสียง การสื่อสารด้วยเสียง จัดเป็นวิธีการที่คนคุ้นเคยมากเพราะคนใช้เสียงในการสื่อความหมายมากที่สุด สัตว์หลายชนิดก็ใช้เสียงในการสื่อสารได้เช่นเดียวกัน แต่ยังไม่มีสัตว์ชนิดใดที่ใช้ภาษาพูดแบบคน นักเรียนคิดว่าการสื่อสารโดยการใช้เสียงมีจุดประสงค์หรือมีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตอย่างไร นิโก ทินเบอร์เกน (Niko Tinbergen) ได้ทำการทดลองกับแม่ไก่และลูกไก่ ดังภาพที่ 10-14 ภาพที่ 10-14 ก. ลูกไก่อยู่ในครอบแก้วและส่งเสียงร้องแม่ไก่ที่อยู่ข้างนอกไม่ได้ยินเสียงจึงไม่แสดงพฤติกรรมใด ๆ เมื่อเปลี่ยนการทดลองเป็นดังภาพที่ 10-14 ข.
พฤติกรรมสื่อสารระหว่างสัตว์(animal communication behavior) มีหลายลักษณะดังนี้ การสื่อสารด้วยท่าทาง (visual communication) การสื่อสารด้วยท่าทาง พบได้ในสัตว์หลายชนิด เช่น การกระดิกหางของสุนัข แสดงการต้อนรับ และหางตกแสดงอาการกลัว 1. 1 การสื่อสารของผึ้ง ศึกษาและทดลองเมื่อปี พ. ศ. 2488 โดย คาร์ล ฟอน ฟริช (Karl von Frisch) แห่งมหาวิทยาลัยมิวนิค เยอรมันตะวันตก โดยฟริชพบว่าผึ้งสำรวจ(scout honeybee) มีความสามารถในการส่งข่าวให้ผึ้งงาน (worker) ทราบได้ว่าที่ใดมีอาหารและเป็นอาหารชนิดใด โดยที่ผึ้งสำรวจจะนำอาหารมายังรังแล้วหยอดอาหารนั้นให้ผึ้งในรังทราบต่อจาก นั้นผึ้งสำรวจจะเต้นรำเพื่อบอกระยะทางและทิศทางของอาหาร โดยเต้นรำเป็น 2 แบบคือ 1. 1. 1 การเต้นรำแบบวงกลม (round dance) ถ้าหากอาหารอยู่ใกล้ เช่น ประมาณ50 เมตร และไม่เกิน 80 เมตร ผึ้งสำรวจจะเต้นรำ เป็นวงกลม โดยเคลื่อนตัวไปทางด้านขวาก่อนในลักษณะตามเข็มนาฬิกา แล้วจึงหมุนไปทางซ้ายมือคือ ทวนเข็มนาฬิกา มันจะทำแบบนี้ซ้ำๆกันหลายๆ ครั้งผึ้งอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ จะเข้ามาสัมผัส เพื่อให้ทราบชนิดของอาหารและดอกไม้และทำให้ผึ้งตัวอื่นบินตามผึ้งสำรวจไปยัง แหล่งอาหารได้การเต้นรำแบบนี้ไม่สามารถบอกทิศทางของอาหารจาก ตำแหน่งของดวงอาทิตย์ได้ ภาพที่ 1 การเต้นรำแบบวงกลมของผึ้ง 1.
Page 8 การทดลองของแฮร์รี เอฟ ฮาร์โลว์ (Harry F. Harlow) 9. Page 9 การสัมผัสโดยการโอบกอดทารกจะทาให้ร่างกาย ของทารกมีการสูบฉีดเลือดในหลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนัง เพิ่มมากขึ้นทาให้เซลล์รับออกซิเจนได้ดี และมีภูมิ ต้านทานโรคเพิ่มมากขึ้น