ควรใช้ครีมบำรุงผิวแบบปราศจากน้ำมัน หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าระหว่างวัน การสัมผัสใบหน้าจะทำให้แบคทีเรียแพร่กระจายไปบนใบหน้าของคุณ อย่าล้างหน้าบ่อยเกินไป ไม่อย่างนั้นน้ำมันที่สร้างขึ้นตามธรรมชาติบนผิวหน้าของคุณอาจถูกล้างออกไปด้วย คำเตือน การบีบสิวอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นได้ หากคุณจะบีบสิว ให้พยายามทำอย่างเหมาะสมเพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้ มีการเข้าถึงหน้านี้ 31, 949 ครั้ง บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม
5 สูตรพอกหน้าจากกล้วย สูตรลับจากธรรมชาติ ตัวช่วยหน้าใส! 4. ใช้ชีทมาส์ก การใช้ชีทมาส์กก็ถือเป็นอีกวิธีลดรอยแดงจากสิวได้เช่นกัน โดยเราสามารถเลือกใช้ชีทมาส์กที่มีสารที่ช่วยลดรอยสิวและบำรุงผิวในคราวเดียวกัน เพื่อช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นและเป็นการลดโอกาสที่จะเกิดสิวซ้ำขึ้นอีก ซึ่งสิวก็ถือเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดรอยแดงค่ะ 8 มาส์กหน้า ถูกและดี หน้าขาวใส ไร้รอยสิว ผิวบริ๊งแบบไม่ต้องจ่ายแพง! ตัวช่วยลดรอยสิว! 5 มาส์กหน้า เผยผิวกระจ่างใส รอยสิวดูจางลง ผิวเรียนเนียนขึ้น 5. ทาครีมกันแดด การทาครีมกันแดดเป็นการป้องกันไม่ให้ผิวที่เป็ยรอยสิวนั้นต้องสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง ซึ่งจะทำให้ผิวมีสีเข้มและเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้การทาครีมกันแดดยังช่วยปกป้องให้ผิวได้ฟื้นฟูสภาพ โดยครีมกันแดดที่เหมาะแก่การเลือกใช้นั้นควรมี SPF 30 หรือมากกว่าค่ะ 5 ครีมกันแดด กันน้ำ กันเหงื่อ แถมกันแดดเริ่ด ใช้แล้วหน้ายังผ่อง ไม่มีหมอง! คือดี! 5 กันแดดแบบแท่ง แค่ปาดๆ แล้วเกลี่ย หน้าเนียนใสสู้แดดง่ายๆ! อย่างไรก็ตาม วิธีลดรอยแดงจากสิว นั้นต้องขึ้นอยู่กับความรุนแรงของรอยด้วย หากสาวๆ มีปัญหาหลุมสิวหรือเป็นรอยแผลเป็นที่ยากแก่ดูแลด้วยตนเอง การเข้ารับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนั้นน่าจะเป็นวิธีที่ช่วยให้สาวๆ กลับมามีหน้าเนียนใสได้ค่ะ บทความที่คุณอาจสนใจ
แสบผิวจากสภาพผิว: หากปล่อยให้ผิวแห้งหรืออ่อนแอจะทำให้เกิดอาการแสบผิวหลังลงสกินแคร์ได้ แม้ว่าสกินแคร์ตัวนั้นจะเป็นสกินแคร์ตัวโปรดที่ใช้ทุกวันและไม่เคยเป็นอะไรเลย ถือว่านี่เป็นสัญญาณเตือนถึงสภาพผิวที่อ่อนแอในขณะนั้นได้เช่นกัน ควรทำอย่างไรหากเกิดอาการแสบผิว? อย่างแรกคือสังเกตอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นกับผิวนอกจากอาการแสบ หากอาการแสบผิวนี้เกิดขึ้นเพียง 1-2 วินาที หรือเกิดเฉพาะช่วงที่ผิวถูกสกินแคร์ใหม่ๆ เป็นไปได้ว่าอาจเกิดจากปัญหาผิวแห้ง แต่หากนานกว่านั้นและมีอาการไม่พึงประสงค์อื่นๆ เกิดขึ้นควรรีบทำการล้างหน้าให้สะอาด ควรไปต่อกับสกินแคร์ตัวนั้นหรือไม่?
เคยสังเกตตามร่างกายของตนเองบ้างหรือไม่ ว่าจู่ๆ ก็เกิดรอยฟกช้ำดำเขียวขึ้นมา เป็นจ้ำแดงๆ บ้าง เขียวๆ บ้าง หรือสีออกม่วงคล้ำก็มี บางทีก็กดเจ็บ บางทีก็ไม่รู้สึกอะไรเลย และบางครั้งก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าไปกระแทกอะไรมา Tonkit360 มีคำตอบ ว่า รอยช้ำ นี้มาจากไหน แล้ว… อันตรายหรือเปล่า? รอยช้ำ เป็นอาการบาดเจ็บที่ผิวหนังอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นจากการที่มีเส้นเลือดฝอยจำนวนมากแตก จนมีเลือดสะสมอยู่ใต้ผิวหนัง ใน 1-2 ชั่วโมงจะค่อยๆ สลายแล้วมาคั่งรวมกัน ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่ง มีผลให้ผิวหนังบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นรอยจ้ำช้ำสีคล้ำ ซึ่งเลือดคั่งนี้จะถูกดูดซึมและหายเป็นปกติภายใน 1-2 สัปดาห์ รอยช้ำ สามารถเกิดขึ้นเป็นปกติและค่อนข้างพบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย อย่างไรก็ตาม รอยช้ำก็มีทั้งแบบไม่อันตรายหายได้เอง และแบบที่ควรไปพบแพทย์ เส้นเลือดฝอยคืออะไร?
Home > Knowledge > id Skin Expert > 5 ต้นเหตุที่ทำให้เกิดรอยแดงบนผิวหน้า 5 ต้นเหตุที่ทำให้เกิดรอยแดงบนผิวหน้า ผื่นแดง รอยแดง ระคายเคือง สิว สงสัยไหมว่า รอยแดงที่ชอบขึ้นอยู่บนผิวนั้นเกิดจากอะไร จริงๆ แล้วก็เกิดจากสาเหตุหลายอย่างด้วยกันค่ะ ไม่ใช่แค่ผิวระคายเคือง หรือเป็นสิวเท่านั้นนะ! เพราะบางทีพฤติกรรมดูแลผิวแบบผิดๆ ก็ทำให้ผิวเกิดรอยแดง ระคายเคืองได้เช่นกัน แล้วรอยแดงบนผิวหน้าจะเกิดขึ้นจากสาเหตุอะไรได้บ้าง ลองมาเช็กกันเลยค่ะ 5 ต้นเหตุที่ทำให้เกิดรอยแดงบนผิวหน้า 1. ล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้าที่แรงเกินไป รอยแดงบนผิวหน้าอาจเกิดจากโฟมล้างหน้าที่เราใช้ก็ได้ค่ะ อย่างพวก โฟมล้างหน้าแรงๆ ล้างแล้วหน้าเอี๊ยด หรือมีส่วนผสมพวกสารกลุ่มซัลเฟต สามารถทำให้ผิวเกิดอาการแพ้ระคายเคือง เป็นรอยแดงขึ้นมาบนผิวได้ ถ้าอยากหาย ลองเปลี่ยนมาใช้โฟมล้างหน้าที่อ่อนโยนต่อผิวที่ปราศจากสารระคายเคืองค่ะ 2. ขัดผิวแรงและบ่อยเกินไป ใน 1 สัปดาห์ คุณสครับหรือขัดผิวกี่ครั้งค่ะ ถ้าตอบว่าขัดผิวหน้าแทบทุกวัน เราขอบอกว่า นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวหน้าคุณมีรอยแดง หรือเป็นผื่นแดงค่ะ เพราะการขัดผิวมากเกินไปทำให้ผิวถูกขีดข่วนมากเกินไป จนผิวระคายเคือง และอ่อนแองลงได้ จำนวนการขัดผิวแบบปกติ ทำร้ายผิดได้น้อยที่สุด ไม่ควรเกิน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ค่ะ 3.
ไม่กด แกะ เกาสิว เป็นเรื่องยากที่จะห้ามใจไม่ให้กดสิว แกะสิว หรือเกาบริเวณที่เป็นสิว แต่การแกะเกาสิวจะกระตุ้นให้เนื้อเยื่อผิวหนังและรูขุมขนอักเสบมากขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็น โดยเฉพาะการแกะเกาสิวโดยไม่ได้ล้างมือ เพราะอาจทำให้สิวเกิดการติดเชื้อจากเชื้อโรคที่อยู่ตามซอกเล็บและนิ้วมือ ส่งผลให้รอยแดงจากสิวหายช้า นอกจากนี้ คนเป็นสิวควรหลีกเลี่ยงการสครับหรือขัดผิวด้วยวิธีต่าง ๆ เพราะจะกระตุ้นให้ผิวอักเสบมากขึ้น 2. รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การไปพบแพทย์ผิวหนังเป็นอีกวิธีที่ปลอดภัยและอาจมีประสิทธิภาพมากกว่าการรักษาด้วยตนเอง โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาสิวเรื้อรังและรอยแดงจากสิว เพราะแพทย์จะช่วยหาสาเหตุของสิว พร้อมทั้งแนะนำ วิธีดูแลผิว เป็นสิว อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับสาเหตุ ซึ่งอาจช่วยลดการเกิดสิว เร่งให้ผิวฟื้นฟูได้เร็ว และลดรอยแดงจากการอักเสบ 3.
บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น โปรดขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มขั้นตอนและพฤติกรรมการบำรุงผิวใหม่ใดๆ
2 ลิตร (9 ถ้วย) ต่อวันสำหรับผู้หญิง [2] เนื่องจากวิธีนี้ค่อนข้างจะจำง่าย เราแนะนำให้ใช้กฎ "8 คูณ 8" ซึ่งก็คือ ดื่มน้ำ 8 ออนซ์ 8 แก้วต่อวัน เมื่อร่างกายขาดน้ำ คุณจะสูญเสียความชุ่มชื้นในผิวของคุณไปด้วย หมายความว่า บริเวณผิวหนังของคุณจะมีการไหลเวียนน้อยเกินกว่าที่จะผลิตสารอาหารที่จำเป็นได้ [3] เมื่อใดที่ร่างกายของคุณไม่ได้รับน้ำอย่างเหมาะสม ผิวหนังของคุณเป็นที่แรกบนร่างกายที่จะรู้สึกถึงการขาดน้ำ การดื่มน้ำเยอะๆ จะช่วยให้ตับและไตของคุณสามารถล้างสารพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ การดื่มน้ำยังช่วยให้ลำไส้ใหญ่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ทำให้มั่นใจว่าร่างกายของคุณได้รับวิตามินอย่างเหมาะสม.
กี่วันเห็นผล?