กรดแก่มีอะไรบ้าง 2. กรด Hydro = HCl HBr HI 3. กรด Oxy = HNO3 HClO3 HClO4 H2SO4 4. การแตกตัว 100% 5. การเป็นอิเล็กโทรไลต์ = แก่ 1. เบสแก่มีอะไรบ้าง 2. หมู่ 1 = LiOH NaOH KOH RbOH CsOH 3. หมู่ 2 = Ca(OH)2 Sr(OH)2 Ba(OH)2 4. – วิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ – มหาวิทยาลัยมหิดล- โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ – เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ: สารละลายในธรรมชาติ (Solutions) กรด Monoprotic แตกตัว 1 ได้แก่ HNO 3, HClO 3, HClO 4, HCN 2. กรด Diprotic แตกตัว 2 ได้แก่ H 2SO 4, H 2CO 3 3. กรดPolyprotic แตกตัว 3 ได้แก่ H 3PO 4 การแตกตัวของกรด Polyprotic แต่ละครั้งจะให้ H + ไม่เท่ากัน แตกครั้งแรกจะแตกได้ดีมาก ค่า Ka สูงมากแต่แตกครั้งต่อ ๆ ไปจะมีค่า Ka ต่ำมาก เพราะประจุลบในไอออนดึงดูด H + ไว้ดังสมการ H 2SO 4 H+ + HSO 4 - Ka 1 = 10 11 HSO 4 - H+ + SO 4 2- Ka 2 = 1. 2 x 10 -2 เนื่องมาจากกรด Polyprotic มักมีค่า K 1 >> K 2 >> K 3 H + ในสารละลายส่วนใหญ่จะได้มาจากการแตกตัวครั้งแรก ถ้าค่า K 1 มากกว่า K 2 =10 3 เท่าขึ้นไปจะพิจารณาค่า pH ของสารละลายกรด Polyprotic ได้จากค่า K 1 เท่านั้น แต่ถ้าค่า K 2 มีค่าไม่ต่ำมาก จะต้องนำค่า K 2 มาพิจารณาด้วย เบส แบ่งตาม จำนวน OH - ในเบส แบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ 1.
กรด?, กรด? หมายถึง, กรด? คือ, กรด? ความหมาย, กรด? คืออะไร กรด?
เป็นเบสได้เพียงอย่างเดียว เพราะให้โปรตอนไม่ได้เนื่องจากไม่มี H แต่สามารถรับโปรตอนได้ กลายเป็น HCO 3 – และ HCN ตามลำดับ
0 x 10 -8 + 1. 0 x 10 - 7 M pH = -log (1. 0 x 10 -7) = 6. 96 สารละลายบัฟเฟอร์ ( Buffer Solution) สารละลายบัฟเฟอร์ คือ สารละลายที่สามารถต้านทานการเปลี่ยนแปลงค่า pH ของสารละลายได้ สารละลายบัฟเฟอร ์ คือ สารละลายที่ค่า pH จะไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อนำไปทำให้เจือจางหรือเข้มข้นขึ้น สารละลายบัฟเฟอร์ คือ สารละลายที่ประกอบไปด้วยกรดอ่อนกับเกลือของกรดอ่อนหรือเบสอ่อนกับเกลือของเบสอ่อน และสารในระบบจะไม่ทำปฏิกิริยากัน โดยที่กรดในระบบจะคอยทำปฏิกิริยากับเบสที่เติมลงไป และเบสในระบบจะคอยทำปฏิกิริยากับกรดที่เติมลงไป ตัวอย่าง จงหา pH ของสารละลายที่ประกอบด้วย 0.
25 | By Pakdee | Last updated: Mar 22, 2022 | Total Attempts: 18724 Settings Feedback During the Quiz End of Quiz Difficulty Sequential Easy First Hard First ให้นักเรียนชั้น ม. 5/6 และ 5/7 เข้าทำข้อสอบพร้อมทั้งปร ้นเกียรติบัตรมาส่งด้วย 1. หน่วยที่เล็กที่สุดของโปรตีนคืออะไร A. กรดไขมัน B. กรดอะมิโน C. โมโนแซ็คคาไรด์ D. ไดแซ็คคาไรด์ 2. พันธะที่เชื่อมต่อระหว่างกรดอะมิโนในพอลิเพปไทด์คือพันธะใด พันธะไกลโคซิดิก พันธะไฮโดรเจน พันธะเพปไทด์ พันธะอะมิโน 3. ข้อใดให้ความหมายของกรดอะมิโนที่จำเป็นได้ถูกต้อง กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย กรดอะมิโนที่ร่างกายขาดไม่ได้ กรดอะมิโนที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ กรดอะมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเองไม่ได้ 4. พันธะเพปไทด์เป็นพันธะระหว่างธาตุใดกับธาตุใดก. C-Nข. C-Oค. N-Hง. C-H ก. ข. ค. ง. 5. กรดอะมิโน 4 ชนิดรวมกันจะเกิดโปรตีนได้กี่ชนิด 4 ชนิด 8 ชนิด 12 ชนิด 24 ชนิด 6. กรดอะมิโน 4 ชนิดรวมกันจะเกิดพันธะเพปไทด์กี่ตำแหน่ง 2 ตำแหน่ง 3 ตำแหน่ง 4 ตำแหน่ง 5 ตำแหน่ง 7. สารที่ใช้ในการทดสอบโปรตีนคือสารใดและให้ผลการทดสอบเป็นอย่างไร สารละลายเบเนดิกต์ เกิดตะกอนสีแดงอิฐ สารละลายเบเนดิกต์ เกิดสารสีม่วง สารละลายไบยูเรต เกิดสารสีม่วง สารละลายไบยูเรต เกิดตะกอนสีแดงอิฐ 8.
กรดไขมันแบ่งเป็นกี่ประเภท 2 ประเภท 3 ประเภท 4 ประเภท 5 ประเภท 9. กรดไขมันชนิดอิ่มตัวที่มี C 18 อะตอมมีสูตรตรงตามข้อใดก. C 17 H 35 COOHข. C 18 H 37 COOHค. C 17 H 33 COOHง. C 17 H 31 COOH 10. กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวที่มี C 18 อะตอมมีพันธะคู่ 1 ตำแหน่งจะมีสูตรตรงตามข้อใดก. C 17 H 31 COOH 11. กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวที่มี C 18 อะตอมมีพันธะคู่ 2 ตำแหน่งจะมีสูตรตรงตามข้อใดก. C 17 H 31 COOH 12. กรดไขมันในข้อใดเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวก. C 15 H 31 COOHข. C 15 H 29 COOHค. C 11 H 23 COOHง. C 17 H 35 COOH 13. กรดไขมันในข้อใดเกิดปฏิกิริยาฟอกจางสีกับโบรมีนได้ก. C 17 H 35 COOH 14. น้ำมันพืชที่ใช้ทอดอาหารแล้วเกิดกลิ่นเหม็นหืนมากที่สุด แสดงว่ากรดไขมันที่เป็นองค์ประกอบในน้ำมันพืชนั้น มีสูตรโครงสร้างดังข้อใด 15. โปรตีนที่มีสูตรโครงสร้างต่อไปนี้มีพันธะเพปไทด์กี่พันธะ เกิดจากกรดอะมิโนกี่โมเลกุลและมีจำนวนกรดอะมิโนกี่ชนิดโปรตีนที่มีสูตรโครงสร้างต่อไปนี้ จำนวนพันธะ จำนวนโมเลกุล จำนวนชนิดของกรดอะมิโน 5 6 7 16. สารประกอบเพปไทด์ที่มีสูตรโครงสร้างดังนี้ จะมีพันธะเพปไทด์กี่ตำแหน่ง เกิดจากกรดอะมิโนกี่โมเลกุล และกี่ชนิดตามลำดับ 17.
ซ่อมแซมหรือเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อของร่างกาย การจัดเก็บสารอาหารเช่นน้ำโปรตีนแร่ธาตุวิตามินคาร์โบไฮเดรตและไขมัน พวกเขาสามารถให้พลังงาน รักษาสมดุลของกรดในร่างกาย ช่วยให้กล้ามเนื้อหดตัว ช่วยให้การพัฒนาและการทำงานของอวัยวะและต่อมที่เหมาะสม พวกเขาเข้าไปแทรกแซงในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อผิวหนังและกระดูกรวมทั้งในการรักษาบาดแผล ดูชีวโมเลกุลด้วย
เบส คือ สารที่ละลายน้ำแล้วแตกตัวให้ OH- ตัวอย่าง สมการที่เป็นไปตามทฤษฎีของ อาร์เรเนียส (aq)+H2O(l) ↔ H3O+(aq) + Cl-(aq) (s)↔ Li+ (aq) + OH- (aq) ข้อเสีย สารใดที่ไม่ละลายน้ำไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นกรดหรือเบส 1. กรด คือ สารที่ให้โปรตอนแก่สารอื่น 2. เบส คือ สารที่รับโปรตอนจากสารอื่น ข้อเสีย สารใดที่ไม่มี H+ จะบอกไม่ได้ว่าสารนั้นเป็นกรดหรือเบส สารใดที่มี H+ แต่แตกตัวเป็นไอออนไม่ได้จะบอกไม่ได้ว่าเป็นกรดหรือเบส คู่กรด-เบส = สารที่เป็นคู่กรด-เบสกัน H+ ต่างกัน 1 ตัว โดยที่ คู่กรดจะมี H+ มากกว่าคู่เบส 1 ตัว ความแรงของกรดและเบส = การแตกตัวในการให้โปรตอน(กรด) ความสามารถในการรับโปรตอน(เบส) CH3COOH (aq) + H2O (aq) ↔ CH3COO- (aq) + H3O+ (aq) ****เราต้องรู้ทิศทางการเลื่อนของสมดุลก่อน เราจึงจะบอกถึงความแรงได้**** 1. ถ้าสมดุลเลื่อนไปทางขวา CH 3COOH เป็นกรดแรงกว่า H 3O + / H 2O เป็นเบสแรงกว่า CH 3COO - 2. ถ้าสมดุลเลื่อนไปทางซ้าย H 3O + เป็นกรดแรงกว่า CH 3COOH / CH 3COO - เป็นเบสแรงกว่า H 2O ถ้าค่า K > 1 สมดุลเลื่อนไปข้างหน้า(สารผลิตภัณฑ์มากกว่าสารตั้งต้น) K < 1 สมดุลเลื่อนย้อนกลับ(สารผลิตภัณฑ์น้อยกว่าสารตั้งต้น) K = 1 ไปข้างหน้าเท่ากับย้อนกลับ (สารผลิตภัณฑ์=สารตั้งต้น) ความแรงทั้ง 2 ข้างเท่ากัน เปรียบเทียบกรดแก่กับเบสแก่ กรดแก่ เบสแก่ 1.