ถามทาง (Asking for directions) Excuse me, could you show me the way to Siam Square? (ขอโทษ คุณจะกรุณาบอกทางไปสยามสแควร์ให้ผมได้ไหม) Excuse me, where is the Central Department Store? (ขอโทษ ห้างเซ็นทรัลไปทางไหนครับ) Do you know where Miracle Grand Hotel is? (คุณทราบไหมว่าโรงแรมมิราเคิลแกรนด์อยู่ที่ไหน) Do you know where the toilet is? (คุณรู้ไหมว่าห้องน้ำอยู่ที่ไหน) Do you know the way to the Airport? (คุณรู้ทางไปสนามบินไหม) Excuse me, could you show me how to get to this address? (ขอโทษ คุณจะกรุณาบอกทางไปยังที่อยู่นี้แก่ผมได้ไหม) Excuse me, how do I get to the Ma Boon Krong Shopping Center? (ขอโทษ ผมจะไปศูนย์การค้ามาบุญครองยังไงครับ) Excuse me, where is the nearest public telephone? (ขอโทษครับ โทรศัพท์สาธารณะใกล้ที่สุดอยู่ไหนครับ) How can I get to the Grand Place? (ผมจะไปพระบรมมหาราชวังยังไงครับ) คำตอบบอกทิศทาง-สถานที่ ( Reply for directions) Turn left. (เลี้ยวซ้าย) Turn right. (เลี้ยวขวา) Turn left at the next corner. (เลี้ยวซ้ายที่หัวมุมข้างหน้า) Go straight ahead. (ตรงไปเลย) It's to your right (left).
(ผมกำลังมองหาวัดพระแก้วอยู่ครับ) B: Go straight to the next intersection and turn right. (ตรงไปเรื่อยๆจนถึงสี่แยกหน้า แล้วเลี้ยวขวาครับ) A: Thank you very much. (ขอบคุณมากครับ) Sample 2: A: Can you tell me where the railway station is? (บอกผมหน่อยได้ไหม สถานีรถไฟไปทางไหน) B: Yes, go straight ahead until you reach the intersection. Don't turn. Go on straight ahead. You'll come to another intersection. Then turn right. You'll see the railway station in front of you. (ครับ เดินตรงไปจนกว่าจะถึงสี่แยก อย่าเลี้ยว เดินตรงไปข้างหน้าอีก คุณจะมาถึงอีกสี่แยกหนึ่ง แล้วเลี้ยวขวา คุณจะเห็นสถานีรถไฟอยู่ตรงหน้าคุณเลย) B: You are welcome. (ยินดีครับ) Sample 3: A: Excuse me, is this the way to the Northern Bus Terminal? (ขอโทษครับ ทางนี้ไปขนส่งหมอชิตใช่ไหม) B: No, not this one. Do you see the main road over there? (ไม่ใช่ทางนี้ครับ คุณเห็นถนนใหญ่ที่นั่นไหม) A: Yes, sir. (เห็นครับ) B: Go to that road, turn right, go straight on until you find a huge brick building. That is the bus terminal. (ไปตามถนนสายนั้น เลี้ยวขวา ตรงไปจนกระทั่งคุณเจอตึกอิฐหลังใหญ่ นั่นล่ะสถานีหมอชิต) A: Thank you.
เราควรจะออกไปเต้นกันมั๊ย? Shall we go now? เราควรจะไปกันได้หรือยัง? Shall – ใช้กับข้อผูกพันที่จะต้องทำในสถานการณ์ที่เป็นทางการมาก ตัวอย่างประโยคเช่น You shall obey the rules. คุณจะต้องปฏิบัติตามกฎ Students shall not enter here. นักเรียนจะต้องไม่เข้ามาที่นี่ There shall be no food and drink on the premises. จะต้องไม่นำอาหารและเครื่องดื่มมาในสถานที่ จะเห็นได้ว่า shall มีความหมายว่า "จะ อย่างแน่นอน" ซึ่ง shall มีความหนักแน่นมากกว่า will ที่หมายความว่า "จะ แต่อาจเปลี่ยนใจทีหลังก็ได้" เพื่อนๆ ลองเปรียบเทียบดูจากสองประโยคต่อไปนี้นะคะ I will not stop you. ฉันจะไม่หยุดเธอ (แต่ก็ไม่แน่ อาจจะเปลี่ยนใจทีหลังก็ได้) I shall not stop you. ฉันจะไม่หยุดเธอ (ยังไงก็ไม่หยุดเธอแน่นอน ไม่มีทาง) ข้อควรระวัง: อย่าใช้ shall กับ he/she/it/you/they นะคะ (ยกเว้นการใช้กับ you ในความหมายว่าจะต้อง) หรือถ้าไม่แน่ใจก็ใช้ will ไปเลยดีกว่าค่ะ Should Should – มักจะใช้เพื่อให้ความเห็น, ให้ข้อเสนอแนะ, แสดงความพึงพอใจหรือความคิด ตัวอย่างประโยคเช่น You should stay at home if you are feeling tired. เธอควรจะอยู่บ้านนะถ้ารู้สึกว่าเหนื่อย I should walk to work.
ส่วน Intransitive Verb ซึ่งหมายถึงกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารับ เช่น to run, to walk, to go, to fly, to awim, etc นั้นจะทำให้เป็น Passive Voice ไม่ได้ หลักทั่วไปในการเปลี่ยนประโยค Active Voice ให้เป็นประโยค Passive Voice 1. ให้กลับเอากรรมของประโยค Active Voice ไปเป็นกรรมในประโยค Passive Voice โดยมี preposition "by" นำหน้า 2. ให้กลับเอากรรมของประโยค Active Voice มาเป็นประธานในประโยค Passive Voice 3.
(ปัจจุบันจนถึงอนาคต) แตงกวาจะยังคงอยู่ในสำนักงานของเธอ We'll be late. (อนาคต) เราอาจจะสาย We will have to take the train. (อนาคต) เราจะต้องขึ้นรถไฟ I will visit Sydney next month. (อนาคต) ฉันจะไปที่ซิดนีย์ในอาทิตย์หน้า เราใช้ will เพื่อพูดเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการหรืออยากจะทำหรือเต็มใจจะทำ ตัวอย่างประโยคเช่น We'll see you tomorrow. พวกเราจะไปหาเธอวันพรุ่งนี้ Perhaps Dad will lend me the car. บางทีพ่ออาจจะให้ฉันยืมรถก็ได้ We'll get up early every morning and have a quick breakfast then we'll go across the road to the beach. เราจะตื่นกันแต่เช้าทุกวันแล้วทานอาหารเช้ากันเร็วๆ จากนั้นก็จะข้ามถนนไปชายหาดกัน เราใช้ will เพื่อขอร้อง หรือร้องขอบางสิ่ง ตัวอย่างประโยคเช่น Will you carry this for me, please? คุณจะช่วยถือมันให้ฉันได้ไหม? Will you please be quiet? คุณจะเงียบหน่อยได้มั๊ย? เราใช้ will เพื่อให้คำมั่นสัญญา, ให้ข้อเสนอ ตัวอย่างประโยคเช่น I'll give you a lift home after the party. ฉันจะไปส่งเธอที่บ้านหลังงานเลี้ยงนะ (give you a lift home หมายถึงส่งเธอกลับบ้านนะคะ) We'll come and see you next week.