ความเข้าใจผิดของโรงเรียน เกี่ยวกับการลงโทษนักเรียน 5 สถาน บทความนี้สืบเนื่องมาจากเรื่อง หลักเกณฑ์การลงโทษนักเรียนและนักศึกษา ซึ่งผมเคยได้รับการสอบถามจากนิติกรของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ว่าการลงโทษนักเรียนและนักศึกษาที่ถูกต้องตามกฎหมายกำหนดการลงโทษไว้ 4 สถาน หรือ 5 สถาน และต้องดำเนินการอย่างไรจึงจะถูกต้อง สภาพปัญหาที่พบ คือ พบว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตว่า ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ. ศ. 2548 ซึ่งมีการกำหนดโทษไว้ 4 สถาน คือ 1. ว่ากล่าวตักเตือน 2. ทำทัณฑ์บน 3. ตัดคะแนนความประพฤติ 4. ทำกิจกรรมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม นอกจากนี้บางเว็บไซต์มีการระบุว่า ระเบียบดังกล่าวได้แก้ไขเพิ่มเติม โดยใช้ชื่อว่า "ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา (ฉบับที่ 2) พ. 2550" ซึ่งเพิ่มการลงโทษอีก 1 สถาน คือ "พักการเรียน" ทำให้การลงโทษนักเรียนและนักศึกษา สามารถลงโทษได้ 5 สถาน โดยเรียงจากโทษน้อยไปหามากดังนี้ 1. ทำทันบน 3. ทำกิจกรรมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 5. พักการเรียน รวมทั้ง ยังปรากฏข้อมูลว่า สถานศึกษาหลายแห่งได้กำหนดระเบียบวินัยของนักเรียนและนักศึกษา และบทลงโทษนักเรียนและนักศึกษาไว้ 5 สถาน เพื่อใช้บังคับกับนักเรียนและนักศึกษา กฎหมาย ระเบียบ จากการค้นคว้ากฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว ผู้เขียนพบว่า 1.
เขียนวันที่ วันพฤหัสบดี ที่ 07 เมษายน 2559 เวลา 20:06 น. เขียนโดย ทีมข่าวอิศรา กลายเป็นประเด็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ สำหรับกรณีพลทหาร 2 นายที่สังกัดหน่วยทหารในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถูกผู้บังคับบัญชาลงโทษจนถึงตายและได้รับบาดเจ็บสาหัส 7 เม. ย. 59 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล. อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้สั่งการให้ทหาร 6 นายที่ร่วมกันกระทำความผิด ไปขอขมาศพ พลทหารทรงธรรม หมุดหมัด หนึ่งในผู้เสียชีวิต ซึ่งญาติตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิดใน อ. สิชล จ. นครศรีธรรมราช ขณะที่ พล. ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งย้ายผู้พันค่ายพยัคฆ์ อ. บันนังสตา จ. ยะลา และทหารยศร้อยเอกอีกนายหนึ่ง ในฐานะผู้รับผิดชอบ แต่กลับปล่อยปละละเลยทำให้เกิดเรื่องขึ้น ประเด็นนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง พร้อมๆ กับคลิปวีดีโอการทำร้ายทหารใหม่กรณีอื่นๆ ที่แชร์กันไปทั่ว ทำให้สังคมให้ความสนใจว่า การฝึกทหารใหม่ หรือการควบคุมวินัยของทหาร สามารถลงไม้ลงมือกันได้ถึงบาดเจ็บล้มตายเลยเชียวหรือ 9 พฤติกรรมกับทัณฑ์ 5 สถาน จากการตรวจสอบของ "ทีมข่าวอิศรา" พบว่า แท้ที่จริงแล้วการลงทัณฑ์ทหารที่กระทำผิดวินัย ถูกควบคุมโดย พระราชบัญญัติวินัยทหาร พ.
1 ระดับปฐมวัย พัฒนาทักษะสมอง เพื่อวางรากฐานภูมิคุ้มกันระยะยาว ด้วยองค์ความรู้เพื่อการบริหารจัดการชีวิต (Brain Executive Functions: EF) ให้เด็กรู้จักยับยั้งชั่งใจ ยั้งคิดไตร่ตรอง ควบคุมอารมณ์ ยืดหยุ่น ปรับตัว ฯลฯ เมื่อเด็กได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โตขึ้นจะลดโอกาสการเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือพฤติกรรมเบี่ยงเบนต่าง ๆ เช่น พฤติกรรมการดื่มเหล้า การสูบบุหรี่ การทุจริต เป็นต้น โดยดำเนินการผ่านกลไก ครูอนุบาล/ครูผู้ดูแลเด็กในโรงเรียนอนุบาลและศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศ 1. 2 ระดับประถมศึกษา เสริมสร้างทักษะชีวิต ให้ความรู้เพื่อการป้องกันยาเสพติด ควบคู่การส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมโดยดำเนินการผ่านกลไกบุคลากรป้องกัน เช่น ครูผู้สอนวิชาสุขศึกษา ครูตำรวจ D. A. R. E. ครูพระสอนศีลธรรม วิทยากรป้องกันต่าง ๆ ในการสอนสอดแทรกความรู้เพื่อการป้องกันยาเสพติดที่หลากหลายตามบริบท 1. 3 ระดับมัธยมศึกษา และระดับอาชีวศึกษา เสริมสร้างทักษะชีวิต ให้ความรู้เพื่อการป้องกันยาเสพติด ควบคู่การส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม พร้อมด้วยการส่งเสริมสนับสนุนให้มีกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ กิจกรรมกลุ่มเพื่อน เครือข่าย/องค์กรเยาวชน กิจกรรม TO BE NUMBER ONE กิจกรรมการเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตน 1.
สถานโทษของผู้ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ "ก. พ. ค. ขอบอก"ครั้งนี้ขอเสนอบทความส่งท้ายปีงบประมาณ พ. ศ. 2560 ประจำเดือนกันยายนด้วยเรื่องของการลงโทษข้าราชการผู้ทุจริตที่เบียดบังเงินของหลวงไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวที่จะต้องลงโทษไล่ออกจากราชการเพียงสถานเดียว เพื่อเป็นการย้ำเตือนข้าราชการทุกท่านว่าหากท่านใดมีพฤติการณ์เช่นนี้ แม้ภายหลังจะได้นำเงินที่เบียดบังนั้นมาคืน ก็ไม่เป็นเหตุให้ลดหย่อนผ่อนโทษได้ เนื่องจากรัฐมีนโยบายที่ไม่สนับสนุนผู้ที่มีพฤติการณ์เช่นนี้ให้อยู่ในระบบราชการต่อไปนั่นเอง เรื่องนี้ผู้อุทธรณ์ได้อุทธรณ์ต่อ ก. กรณีได้รับชำระเงินค่าภาษีรถประจำปีและค่าธรรมเนียมในการดำเนินการทางทะเบียนแล้วเบียดบังเงินดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ของตนเองจำนวนเกือบ 4 ล้านบาท โดยกระทำการเช่นนี้ตลอดระยะเวลาที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่รับชำระเงินค่าภาษีรถประจำปี ก.
4 ระดับอุดมศึกษา เสริมสร้างทักษะสังคม การมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ส่งเสริมกิจกรรมจิตอาสา สร้างพลังการมีส่วนร่วมของนิสิตนักศึกษาในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเชิงพื้นที่ 2. ด้านการค้นหา สำรวจ ค้นหา คัดกรอง โดยใช้ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน การสังเกต ซักถาม ฯลฯ และแบ่งกลุ่มเพื่อหามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดที่เหมาะสม ได้แก่ กลุ่มทั่วไป กลุ่มเสี่ยง กลุ่มใช้ยาเสพติด 3. ด้านการรักษา ให้โอกาสเมื่อเด็กพลั้งพลาดเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือมีแนวโน้มเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยการปรับความคิด/พฤติกรรม สร้างค่านิยมใหม่ ดูแลช่วยเหลือ ติดตามอย่างใกล้ชิด ระหว่าง ครู ผู้ปกครอง และนักเรียน ทั้งนี้ สถานศึกษาจะต้องเปิดให้โอกาสให้เด็กได้เรียนต่อตามปกติ - กลุ่มเสี่ยง: ค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกลุ่มเสี่ยง การให้คำปรึกษา ติดตาม เยี่ยมบ้าน ฯลฯ - กลุ่มใช้ยาเสพติด: กรณีค้นพบในสถานศึกษา โดยการทำจิตสังคมบำบัดในสถานศึกษา ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่าง ครู ผู้ปกครอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข 4. ด้านการเฝ้าระวัง สอดส่อง เฝ้าระวัง เป็นหูเป็นตา ร่วมมือกันระหว่าง ครู นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีกิจกรรมที่เข้ามาหนุนเสริม เช่น ลูกเสือต้านภัยยาเสพติด /1 ตำรวจ 1 โรงเรียน /การจัดระเบียบสังคมรอบสถานศึกษา ฯลฯ 5.
2548 ข้อ 4, 5 และ 6 ได้กำหนดให้การลงโทษนักเรียนนั้นต้องมีความมุ่งหมาย เพื่อการอบรมสั่งสอนเท่านั้น และการลงโทษนักเรียนที่กระทำความผิด มีเพียง 4 สถานเท่านั้น ดังนั้น ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ. 2548 กำหนดให้ลงโทษได้ 4 สถาน และต่อมาในปี พ. 2551 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะผู้มีอำนาจหน้าที่ในการวางระเบียบว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา ได้ชี้แจงตอบกระทู้ถามที่ 042 ต่อสภาผู้แทนราษฎร ว่าการลงโทษนักเรียนและนักศึกษาก็ทำได้เพียง 4 สถานเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงสรุปได้ว่า ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา (ฉบับที่ 2) พ. 2550 ซึ่งเพิ่มโทษ "พักการเรียน" ขึ้นอีก 1 สถาน จึงไม่ถูกต้องและไม่เป็นความจริง และ กรณีที่สถานศึกษาหลายแห่งกำหนดโทษ "พักการเรียน" โดยอาศัยระเบียบกระทรวงศึกษาธิการฯ ฉบับที่ 2 ซึ่งไม่มีอยู่จริงดังกล่าว จึงไม่ถูกต้องด้วยเช่นกัน ข้อเสนอแนะ ผู้เขียนเห็นว่า สถานศึกษาที่กำหนดระเบียบวินัยและกำหนดการลงโทษนักเรียนและนักศึกษาไว้ 5 สถาน จะต้องแก้ไขระเบียบของสถานศึกษาให้เป็นไปตาม ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.
พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ. 2546 ได้ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการวางระเบียบว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษาไว้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจึงได้ออก ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ. 2548 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 122 ตอนพิเศษ 35 ง เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2548 และกำหนดให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป 2. เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2551 ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125 ตอนพิเศษ 120 ง ได้เผยแพร่ กระทู้ถามที่ 042 ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และคำตอบกระทู้ถามที่ 042 ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในเรื่องการลงโทษนักเรียนเกินกว่าเหตุ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ความว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการตอบชี้แจงเรื่องการลงโทษนักเรียนเกินกว่าเหตุว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้มีหนังสือซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับความประพฤติและการรักษาวินัยของข้าราชการครู เพื่อกำชับกวดขันให้ผู้บริหารสถานศึกษาเอาใจใส่ และให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียน พ. 2548 อย่างเคร่งครัด ซึ่งระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.
ขอบอก"ด้วยดีตลอดมา และขอแจ้งท่านผู้อ่านทุกท่านในที่นี้ว่า ท่านสามารถติดตาม "ก. ขอบอก" ได้ในรูปแบบของจุลสารรายไตรมาสเร็วๆ นี้ ที่จะมีข่าวสารและความรู้ที่น่าสนใจอีกมาก ซึ่งจะแจกแก่ส่วนราชการต่างๆ โดยสำนักงาน ก. จะได้นำลงในเว็ปไซต์ หรือ อีกทางหนึ่งด้วยนะ.. ขอบอก... (ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน คอลัมน์ "ก. ขอบอก" ฉบับวันอังคารที่ 5 กันยายน 2560) ประเภทเนื้อหา วันที่ Tue, 2017/09/05 - 08:30